อบเชย คืออะไร
อบเชย (Cinnamon) คือเปลือกของต้นไม้จากตระกูล Cinnamomum ถูกใช้มาตั้งแต่สมัย อียิปต์ ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2000 อบเชย ได้รับยกย่องว่าเป็นของขวัญที่เหมาะสำหรับเทพและพระมหากษัตริย์
อบเชยมีอีกชื่อว่า Cinnamomum verum ซึ่งมากจากภาษาละตินว่า อบเชยที่แท้จริง อบเชยมีประวัติอย่างยาวนานในการใช้เป็นยาแผนโบราณ ในการรักษาโรคต่างๆนาๆ รวมไปถึงการลดเบาหวานอีกด้วย
อบเชย สรรพคุณ 9 อย่างที่ควรรู้
เนื่องจากอบเชยมีการใช้ตั้งแต่สมัยอียิปแล้วอบเชย สรรพคุณจึงมีการศึกษาอย่างกว้างขวางเป็นอย่างมาก แต่นั่นคือการทานอบเชยในปริมาณที่แนะต่อวัน การทานอบเชยเกินปริมาณที่แนะนำต่อวันนั้นส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เช่น อาจเกิดมะเร็ง และ ตับเสียหายได้
การทานอะไรที่พอเหมาะพอดีนั้น ส่งผลดีต่อร่างกาย แม้การดื่มแอลกอฮอล์ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าไม่ดีต่อสุขภาพ ยังมีงานวิจัยที่บอกแล้วว่าการดื่มเบียร์ 1-2 กระป๋องต่อวันนั้นดีต่อสุขภาพ
หรือจะเป็นการกินสมุนไพรลดน้ำตาลในเลือด ที่ได้รับการวิจัยมากมายว่าดีเท่าไหร่ แต่การทานสมุนไพรลดน้ำตาลในเลือดเกินที่แนะนำต่อวัน ก็ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้เช่นกัน ฉนั้น ควรทานแต่พอเหมาะ และทานให้หลากหลาย แทนการทานเพียงอย่างเดียวจะดีที่สุด
1.อาจป้องกันมะเร็ง
มีการศึกษาอบเชยอย่างกว้างขวางมากๆ เกี่ยวกับการใช้อบเชยรักษามะเร็ง แต่การศึกษาส่วนใหญ่นั้นเป็นเพียงการศึกษาในหนู ที่มีโครงสร้างร่างกายคล้ายมนุษย์
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอบเชยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และ การก่อตัวของหลอดเลือดในเนื้องอกได้ และดูเหมือนว่าอบเชยจะเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งอีกด้วย การที่อบเชยเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งตายนั่นเอง
ยังมีการศึกษาที่พบอีกว่า อบเชยสามารถกระตุ้นเอนไซม์ในการล้างพิษของลำไส้ใหญ่ซึ่งการล้างพิษในลำไส้ใหญ่ทำให้มะเร็งลำไส้ใหญ่นั่นลดลงได้ และยังป้องกันไม่ให้มะเร็งลำไส้ใหญ่เจริญเติบโตได้อีกด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการศึกษาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในหนูและหลอดทดลอง ยังขาดการศึกษาในมนุษย์อยู่
2.อาจช่วยรักษา HIV
HIV เป็นไวรัสจะเริ่มทำลายระบบภูมิคุ้มกัน หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้พัฒนาเป็นโรคเอดส์ได้
มีการศึกษาสารสกัดจากอบเชยสายพันธ์ Cassia ในห้องทดลอง พบว่าสารสกัดจากอบเชยสามารถกรักษา เชื้อ HIV-1 ที่เป็นเชื้อ HIV ในมนุษย์ ได้ดีที่สุด จากสมุนไพรกว่า 69 ชนิด ที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้
แต่เนื่องจากการศึกษาเป็นเพียงการศึกษาในห้องทดลอง และยังขาดการทดลองกับมนุษย์อยู่ จึงจำเป็นต้องได้รับการศึกษาในมนุษย์ต่อไปอีกเพื่อหาผลยืนยันที่แท้จริง
3.คุณสมบัติยาที่มีประสิทธิภาพสูง
อบเชยเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงมาก อบเชย ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ และยังได้รับยกย่องว่าเป็นของขวัญที่เหมาะกับกษัตริย์อีกด้วย
อบเชยมีสารที่ชื่อว่า ซินนามัลดีไฮด์ (Cinnamaldehyde) ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชชื่อว่า สารนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพและการเผาผลาญอาหารเป็นอย่างมาก
4.เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสารที่ช่วยปกป้องร่างกายจากความเสียหายออกซิเดชัน จากสารต้านอนุมูลอิสระ และอบเชยนั้นเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง โพลีปีนอล เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก
มีการศึกษาเครื่องเทศกว่า 26 ชนิด ในการต้านอนุมูลอิสระของแต่ละเครื่องเทศ รวมถึงอบเชยด้วย ผลคือ อบเชยชนะ แม้แต่ กระเทียมที่ว่าแน่ ยังแพ้ให้กับอบเชย ในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระ และที่สำคัญ อบเชยสามารถนำไปใช้เป็นสารกันบูดได้เลยทีเดียว
5.ต้านการอักเสบ
การอักเสบเรื้อรัง อาจนำไปสู่โรคต่างๆ มากมาย ที่เกี่ยวกับอายุที่มากขึ้น ยิ่งเกิดการอักเสบของร่างกาย ยิ่งเกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง บวกกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น ยิ่งทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอลง ทำให้ร่างกายยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
อบเชยนั้น เป็น 1 ใน อาหาร 115 อย่าง ที่ได้รับการทดลอง และได้รับการยืนยันว่า เป็นเครื่องเทศที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพมาก
6.ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
โรคหัวใจ สาเหตตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก แต่อบเชยสามารถลดความเสี่ยงนั้นได้ เพราะว่า
อบเชย มีส่วนช่วยลดเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
และอบเชยยังช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของไขมันอุดตันในหลอดเลือด
และยังมีการศึกษาอีกว่า การกินอบเชย 120 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ได้ ซึ่งไขมันดีมีส่วนช่วยลดไขมันในหลอดเลือดซึ่งเป็น 1 ในสาเหตุของโรคหัวใจ
นอกจากนี้ อบเชยยังอาจมีส่วนช่วยลดความดันโลหิตได้ อบเชย สรรพคุณต่างๆที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อโรคหัวใจทั้งสิ้น ถ้าลดปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้ ก็ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้ไม่ยาก
7.เพิ่มความไวต่อฮอร์โมน อินซูลิน
อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สำคัญ ในการควบคุมระบบเผาผลาญของร่างกาย เพื่อเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไปเป็นพลังงานจำเป็นต่อการส่งน้ำตาลในเลือด ไปยังเซลล์ต่างๆของร่ายกาย เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน
คนเป็นเบาหวานส่วนใหญ่จะประสบกับปัญหาเกี่ยวกับอินซูลิน หรือความต้านทานต่ออินซูลิน ซึ่งร้ายแรงมากในคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
อบเชย สรรพคุณเด่นๆเลยคือ ลดการดื้ออินซูลินของร่างกาย ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้
8.ต้านเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ
จากที่กล่าวมาก่อนหน้าว่าอบเชย สรรพคุณเพิ่มความไวต่ออินซูลิน นั้น อบเชยยังช่วยลดน้ำตาลด้วยกลไกอื่นๆอีกมากมาย เช่น
- อบเชย มีสารที่สามารถเลียนแบบอินซูลินได้ ซึ่งการเลียนแบบอินซูลิน จะช่วยให้เซลล์ดูดซึมกลูโคสเพิ่มขึ้น แต่อาจจะช้ากว่าอินซูลินตัวจริง
- ลดปริมาณกลูโคส ที่เข้าสู่กระแสเลือด หลังจากกินอาหาร เนื่องจากอบเชยรบกวนเอนไซม์จำนวนมากที่ใช้ในการย่อยอาหาร การรบกวนเอนไซม์นี้จะทำให้การสลายคาร์โบไฮเดรตในทางเดินอาหารนั้น น้อยลง
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเป็นจำนวนมากที่ยืนยันแล้วว่า อบเชย ช่วยต่อต้านเบาหวานได้จริงๆ
9.อาจช่วยโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท
โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทอย่างเช่นอัลไซเมอร์ หรือ พาร์กินสัน เป็นโรคทางประสาทที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากสูญเสียโครงสร้าง หรือสูญเสียการทำงานของเซลล์สมองไป
อบเชยมีสารสองชนิดที่อาจมีส่วนช่วยยับยั้งการสะสมของโปรตีนที่เรียกว่า tau ที่อยู่ในสมอง ซึ่งโปรตีนชนิดนี้เป็นโปรตีนเด่นๆที่ทำให้เกิดอัลไซเมอร์นั่นเอง
มีการศึกษาในหนูที่เป็นพาร์กินสัน พบว่า อบเชยมีส่วนช่วยปกป้องเซลล์ประสาทในระดับการสื่อประสาท และทำให้สารสื่อประสาทดีขึ้นได้ แต่ยังค่อนข้างที่จะขาดงานวิจัยสำหรับมนุษย์อยู่
โทษของอบเชย 5 อย่าง เมื่อทานเกิน 1 ช้อนชา
อย่างที่เราได้กล่าวประจำว่า การทานอะไรที่มากเกินไป ไม่เคยดีต่อสุขภาพ แม้แต่ของที่ได้รับยกย่องว่าสรรพคุณมากมาย อบเชยก็เช่นกัน อบเชย สรรพคุณ 9 อย่างที่กล่าวมา อาจส่งผลตรงกันข้ามทันทีที่ทานมากเกินปริมารที่แนะ ควรทานเพียงเล็กน้อยและทานให้หลากหลายแทนการกินเพียงอย่างเดียว และระวังการสูดดมอบเชยแบบผง เพราะอาจส่งผลต่อระบบหายใจได้
1.อาจเกิดปัญหากับระบบหายใจ
อบเชย มีสารที่ระคายเคืองต่อลำคออยู่ การจะทานอบเชยแบบบดระเอียด ควรระวัง ไม่ให้สูดดมเอาอบเชยเข้าไป เพราะจะทำให้เกิดการละคายเคืองได้
ผู้ที่เป็นหอบหืด หรือ อาการป่วยอื่นๆที่เกี่ยวกับการหายใจ จำเป็นต้องระวังการเผลอสูดดมอบเชยเป็นพิเศษ
2.อาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักจะเกิดกับคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับน้ำตาลน้อยเกินไป ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
การกินอบเชยนั้น ถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลงมาอยู่ในระดับปกติได้ แต่ถ้ากินอบเชยมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งอันตรายไม่ต่างจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
คนที่เป็นเบาหวานและกำลังทานยาเบาหวานอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกทานอบเชย หรือ อาหารเสริมที่มีอบเชยเป็นส่วนประกอบ
3.อาจทำให้ตับเสียหาย
อบเชยมีสารที่ชื่อว่า คูมาริน (Coumarin) 2.6 กรัม ต่อช้อนชา ซึ่งสารต้านการแข็งตัวของเลือดตามธรรมาชาติจากเชื้อราหลายชนิด
แต่ปริมาณของสาร คูมาริน (Coumarin) ที่แนะนำต่อวัน อยู่ที่ 0.01 มก. ต่อ กก. ของน้ำหนักตัว หรือไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับน้ำหนักตัว 59 กก. ซึ่ง อบเชยเพียง 1 ช้อนชา ก็ทำให้สารนี้เกินปริมาณที่แนะนำแล้ว
การได้รับสาร คูมาริน (Coumarin) มากเกินไป ทำให้สารนี้กลายเป็นพิษได้ และทำให้เกิดความเสียหายต่อตับตามมาได้
มีเคสตัวอย่างของหญิงอายุ 73 ปี ที่มีการติดเชื้อที่ตับอย่างกระทันหัน ทำให้ตับเสียหาย หลังจากการทานอาหารเสริมที่มีอบเชย เพียงแค่ 1 สัปดาห์ เคสนี้เกี่ยวข้องกับการทานอาหารเสริมที่มีปริมาณสารอาหารต่างๆที่ควรได้รับจากการทานอาหาร สูงกว่าปกติ ทำให้เกิดเป็นเคสนี้ขึ้นมา
4.อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง
ยังอยู่กันที่สาร คูมาริน (Coumarin) ซึ่งการได้รับสารนี้เยอะเกินไปนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย 1 ในนั้นคือ มะเร็ง
มีการศึกษาในหนู โดยการให้กินสาร คูมาริน (Coumarin) มาก เกินขนาดที่แนะนำต่อวัน พบว่า สารคูมาริน (Coumarin) อาจทำให้เนื้องอกพัฒนาในปอดและตับ และนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่า คูมาริน (Coumarin) อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอ เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งอีกด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทดลองใช้สารคูมาริน (Coumarin)มากเกินขนาดที่แนะนำ ยังเป็นทดลองในสัตว์อยู่ ยังขาดงานวิจัยในมนุษย์อีกมาก เพื่อยืนยันการทดลองนี้
5.อาจทำให้เกิดแผลในช่องปาก
มีหลายคนประสบปัญหาแผลในช่องปากจากการทานอาหารที่มีสารแต่งกลิ่นจากอบเชย ที่เกิดจากอาการแพ้ จากการที่กินอบเชยมากเกินไป และการแพ้อบเชยอาจทำให้เกิดปัญหาในช่องปากเหล่านี้ได้
- คันในช่องปาก
- แสบร้อนในช่องปาก
- ลิ้นบวม
- เหงือกบวม
- แผลสีขาวในปาก
อย่างไรก็ตามถ้ากินอบเชยเข้าไปแล้วเกิดอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจอาการแพ้จะดีที่สุด
ปริมาณอบเชยที่แนะนำต่อวัน
อบเชยมีปริมาณที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 1-5 กรัมต่อวัน 1/2 ช้อนชา หรือ ไม่เกิน 1 ช้อนชา
อบเชยมีสารที่ชื่อว่า คูมาริน (Coumarin) อยู่ ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณที่พอเหมาะก็ไม่เกิดอันตรายใดๆ แต่ถ้าได้รับมากเกินไป ตับอาจเสียหาย และอาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งได้ โดยในผงอบเชย 1 ช้อนชามี คูมาริน (Coumarin) ประมาณ 2.6 กรัม
ซึ่งปริมาณของสาร คูมาริน (Coumarin) ที่แนะนำต่อวัน อยู่ที่ 0.01 มก. ต่อ กิโลกรัม ของน้ำหนักตัว
หรือไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับน้ำหนักตัว 59 กก. ซึ่ง อบเชยเพียง 1 ช้อนชา ก็ทำให้สารนี้เกินปริมาณที่แนะนำแล้ว แพทย์บางที่อาจจะบอกว่า ทานได้ไม่เกิน 1 ช้อนชา แต่ปริมาณไม่ควรเกิน 6 กรัม
สรุป
จากอบเชย สรรพคุณ 9 อย่างที่กล่าวมาการทานอบเชยมากเกินส่งผลเสียต่อบางอย่างแทนที่จะส่งผลดี ปริมาณที่แนะนำคือ ½ ช้อนชา หรือไม่เกิน 5 กรัม ต่อวัน สามารถนำผงอบเชยไปผสมกินกับอะไรก็ได้ หรือจะชงดื่มก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน 5 กรัม ตลอดทั้งวัน และให้ระวังการระหว่างกำลังจะทานผงอบเชย เพราะว่าผงอบเชยอาจส่งผลต่อระบบหายใจ อาจปลิวเข้าจมูก ทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปากและเกิดเป็นแปลได้ ด้วยความปราถนาดีจาก ชีวาออร์แกนิค อาหารเสริมเบาหวาน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- 10 ประโยชน์ของอบเชย | Healthline
- อบเชย | Webmd
- 6 ผลข้างเคียงของอบเชย| Healthline
- ผลของอบเชยในช่องปาก | Opendentistryjournal
- อบเชย | Badgut
- ฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากอบเชย | pubmed
- อบเชยลดระดับน้ำตาลในเลือด | pubmed
- 5 ประโยชน์ของอบเชย | bbcgoodfood
- ประโยชน์ของอบเชย | Medicalnewstoday
- อบเชย | Britannica
- อบเชย | en.wikipedia
- ประโยชน์และโทษของอบเชย | Webmd